การอ่านสะสม
การอ่านสะสม : กุญแจสำคัญสู่การพัฒนาสมองและปัญญาของเด็ก การตั้งเป้าหมายเชิงปริมาณ - การอ่านให้ฟัง และการอ่านเอง
เรามักจะชื่นชมภาพเด็ก ๆ ที่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน เพราะมันเป็นภาพลักษณ์ของความฉลาด ดูสวยงาม มีรสนิยม มีความก้าวหน้า และดูมีอนาคต
แต่ในขณะที่เราหลงใหลกับภาพความงดงามนี้ เราอาจลืมพิจารณาให้ลึกซึ้งขึ้นว่า การอ่านเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เพียงพอที่จะช่วยให้เด็กเติบโตทางสติปัญญา
สิ่งที่มีความสำคัญยิ่งกว่าคือ “การอ่านสะสม” ทั้งจากการอ่านด้วยตนเองและการฟังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้เด็ก ๆ ได้รับความรู้สะสมจนสามารถเชื่อมโยง วิเคราะห์ และสร้างปัญญาได้อย่างแท้จริง
ความสำคัญของ #การอ่านสะสม
งานวิจัยทางการศึกษามากมายระบุว่าการอ่านเป็นกระบวนการที่ต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีปริมาณสะสมมากพอที่จะสร้างผลกระทบที่แท้จริงต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก
งานวิจัยของ Nagy & Herman (1987) พบว่าเด็กที่อ่านหนังสือเป็นประจำวันละ 20 นาทีจะได้สัมผัสคำศัพท์มากกว่าผู้ที่อ่านน้อยถึง 1.8 ล้านคำต่อปี
ในขณะที่เด็กที่อ่านเพียงวันละ 5 นาทีจะได้รับคำศัพท์เพียง 282,000 คำต่อปีและหากอ่านน้อยกว่านั้น เด็กจะมีโอกาสได้รับคำศัพท์เพียง 8,000 คำต่อปี เท่านั้น
ระดับ ของการได้รับคำศัพท์ที่แตกต่างกันส่งผลโดยตรงต่อพัฒนาการของเด็กในหลายด้าน:
#พัฒนาการทางภาษาและความสามารถในการสื่อสาร:
เด็กที่ได้รับการอ่านหรือฟังคำศัพท์จำนวนมากมีแนวโน้มที่จะพัฒนาทักษะทางภาษาได้เร็วกว่า สามารถเข้าใจความหมายของคำศัพท์และการใช้ประโยคที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น ส่งผลให้สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและคล่องแคล่ว
#ทักษะการคิดวิเคราะห์และการเชื่อมโยงความรู้:
เด็กที่อ่านหรือฟังคำศัพท์มากจะสามารถเชื่อมโยงข้อมูลใหม่เข้ากับความรู้เดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาได้ดีขึ้น

#ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน:
งานวิจัยของ Anderson, Wilson, & Fielding (1988) ชี้ให้เห็นว่าเด็กที่อ่านหนังสือวันละ 30 นาทีมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่ากลุ่มที่อ่านน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ นั่นหมายความว่าปริมาณการอ่านสะสมสามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้นในทุกวิชา
#การพัฒนาทางอารมณ์และสังคม:
เด็กที่มีโอกาสอ่านหรือฟังเรื่องราวที่หลากหลายจะสามารถพัฒนาความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้ดีขึ้น ทำให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและมีความสามารถในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
#ความมั่นใจและความรักในการเรียนรู้:
การได้รับปริมาณคำศัพท์ที่มากพอช่วยสร้างความมั่นใจให้เด็กในการอ่านและทำให้พวกเขารักการเรียนรู้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จในอนาคต
#เป้าหมายการอ่านที่ยาวไกล
เพื่อให้เด็กได้รับประโยชน์สูงสุดจากการอ่าน การตั้งเป้าหมายเชิงปริมาณจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่เพียงแค่สร้างสภาพแวดล้อมให้เด็กหยิบจับหนังสือได้เท่านั้น หากแต่ต้องมีแนวทางที่ชัดเจนในการกระตุ้นให้เกิดการอ่านอย่างต่อเนื่อง เช่น
#สำหรับครูอนุบาล:
ควรกำหนดเป้าหมายในการอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวัน เช่น วันละ 6-10 เล่ม และสะสมให้ได้มากกว่า 1,000 เล่มใน 1 ปี
#สำหรับครูประถมศึกษา:
ต้องวางแผนให้เด็กได้อ่านหนังสือร่วมกันอย่างเป็นระบบ เช่น เดือนละ 3-5 เล่ม หรือปีละ 40-60 เล่ม
#สำหรับนักพัฒนาการอ่าน:
ควรประเมินว่าการอ่านของเด็กสามารถสะสมคำศัพท์ได้ถึง 1 ล้านคำต่อปี หรือไม่ เพราะตัวเลขนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าพวกเขากำลังก้าวไปสู่ระดับของนักอ่านที่มีศักยภาพสูง
การอ่านสะสมเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางปัญญาของเด็ก ไม่ใช่เพียงแค่ภาพของเด็กที่จับหนังสือขึ้นมาอ่านเป็นครั้งคราว แต่เป็นกระบวนการที่ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนและต่อเนื่อง
หากเราเข้าใจถึงพลังของการอ่านสะสม และสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เด็กได้อ่านอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในห้องเรียนหรือที่บ้าน เด็ก ๆ จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งในด้านความคิด การวิเคราะห์ และความเข้าใจในโลกใบนี้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต
อ้างอิง:
Nagy, W. E., & Herman, P. A. (1987). Breadth and Depth of Vocabulary Knowledge: Implications for Acquisition and Instruction.
Anderson, R. C., Wilson, P. T., & Fielding, L. G. (1988). Growth in Reading and How Children Spend Their Time Outside of School.
The National Institute of Child Health and Human Development (NICHD). (2000). Report of the National Reading Panel: Teaching Children to ReadFacebo