ทายซิ ทายซิ หนูรักพ่อมากแค่ไหน
มีหนังสือสำหรับเด็กไม่มากนักในบ้านเราที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก ทั้งที่มีความจริงแล้วเด็กๆ (ลูก) มักจะนิยมชมชอบการได้หยอกล้อลูกหัวกับพ่อมากกว่าเล่นกับแม่ ในขณะที่คุณแม่ส่วนใหญ่มักจะทําหน้าที่เป็นผู้คอยดูแลเรื่องความเป็นอยู่และความสะดวกสบายของลูกๆหนังสือเรื่อง“ทายซิ ทายซิหนูรักพ่อมากแค่ไหน” เป็นหนังสือเด็กที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ−ลูกได้อย่างน่ารักแนบเนียน ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติมากที่สุดเล่มหนึ่ง
พ่อกระต่ายสีน้ำตาลที่ดูกระดำกระด่างไม่ค่อยน่ารักในสายตาของผู้ใหญ่อย่างเรา และลูกกระต่ายน้อยสีน้ําตาล รูปร่างท่าทางเก้งก้างกระทั่งบางคนมองเห็นว่าเป็นลา มากกว่าจะดูเป็นกระต่าย แต่หากเรามองข้ามจุดนี้ไปได้ เราจะได้เห็นความอบอุ่น ความน่ารักและรู้สึกซาบซึ้งไปกับพ่อ−ลูกกระต่าย สีน้ำตาลคู่นี้ผ่านเนื้อหาสาระที่มีอยู่ในเรื่อง
ครูชีวัน วิสาสะ มักพูดอยู่เสมอว่า ในหนังสือภาพสําหรับเด็กนั้นประกอบด้วย ภาพ ภาษาและเนื้อหา ซึ่งผู้ใหญ่ควรจะต้องค้นให้พบว่าในหนังสือแต่ละเล่มมีภาพ ที่เล่าเรื่องอย่างไร นําเสนอด้วยภาษาเช่นไร และหนังสือเรื่องนี้มีเนื้อหาอย่างไร
ดังท่ีกล่าวไว้ตอนต้นว่า ภาพกระต่าย พ่อ−ลูก ที่ดูเหมือนไม่น่ารักในสายตาของผู้ใหญ่ แตกต่างจากกระต่ายขนฟูน่าเอ็นดูที่เราเห็นกันเสมอในหนังสือเด็กเกือบทุกเล่มในท้องตลาด แต่สิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในความกระดํากระด่างของกระต่ายสีน้ำตาลพ่อ−ลูกคู่นี้คืออารมณ์ที่ถ่ายทอดผ่านสีหน้าท่าทางของกระต่ายท้ังสองตัวต่างหากที่ให้ความรู้สึก เมื่อเรามองดูภาพประกอบในหนังสือเด็กเล่มนี้
คุณพ่อคุณแม่อ่านตัวหนังสือไปอย่างช้าๆ เพื่อปล่อยให้ลูกได้ดูภาพกระต่ายพ่อ−ลูกจ้องมองกันส่งผ่านความรู้สึกรักใคร่ต่อกัน ภาพของพ่อกระต่ายที่แสดงความชื่นชมลูกน้อย ภาพกระต่ายน้อยท่ีตื่นเต้นตาโตเมื่อรับรู้ว่าพ่อกระต่ายรักตัวมากแค่ไหน
เรื่องเล่าว่า...วันหนึ่งขณะที่พ่อกระต่ายกําลังพาลูกน้อยไปนอน ลูกกระต่ายสีน้ำตาลถามพ่อข้ึนว่า“ทายซิ ทายซิหนูรักพ่อมากแค่ไหน” พ่อกระต่ายซึ่งก็คงเหมือนกับ ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่ที่จะต้องแปลกใจและงง และ แน่นอน...ตอบไม่ถูก! จึง ทำ ได้แค่เฉไฉไปว่า “พ่อทายไม่ถูก หรอก ”ลูกกระต่ายน้อยจึงกางแขนออกกว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้ แล้วบอกพ่อว่า “รักมากเท่านี้ไง”
ตอนนั้นละที่ผู้ใหญ่ (พ่อกระต่าย) จึงค่อยรับมุขแล้วบอกกับลูกน้อยกลับไปว่า “พ่อก็รักลูกมากเท่านี้” พร้อมกับกางแขนออกกว้างที่สุดเท่าท่ีจะกว้างได้ แล้วเกมใครรักมากกว่ากันก็เริ่มขึ้นจากตรงนี้เอง เพราะลูกกระต่ายก็ไม่ยอม มันชูสองแขนขึ้นเหนือหัวแล้วบอกพ่อว่า “หนูรักพ่อสูงเท่าสุดมือหนูเลย” พ่อกระต่ายก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันชูมือขึ้นก่อนจะบอกลูกว่า “พ่อก็รักลูกสูงเท่าสุดมือพ่อเลย”
คราวนี้เกมใครรักมากกว่ากันเริ่มเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน เมื่อกระต่ายน้อยกระโดดตีลังกายกขาขึ้นแตะกิ่งไม้ และบอกว่า“หนูรักพ่อตลอดตัวตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า”
มีหรือที่พ่อกระต่ายจะยอมแพ้ง่ายๆ จึงอุ้มกระต่ายน้อยพลางเหวี่ยงขึ้นสูงแล้วบอกว่า“พ่อก็รักลูกตลอดตัว ต้ังแต่หัวจรดปลายเท้าของของลูก” กระต่ายน้อยไม่ยอมแพ้มันบอกพ่อว่า “หนูรักสูงเท่าหนูกระโดด” พ่อกระต่ายก็กระโดดสูงลิบจนหูยาวๆ ของพ่อแตะกิ่งแล้วเกทับลูกว่า “พ่อก็รักลูกสูงเท่าที่พ่อกระโดด”
กระต่ายน้อยตะลึงตาค้างขณะมองเห็นว่าพ่อกระโดดได้สูงมากแค่ไหนเนื้อเรื่องดําเนินเรื่อยมาโดยผู้แต่งมิได้สรุปชี้นำแม้แต่น้อยว่าแท้ที่จริงแล้วพ่อกระต่ายรักกระต่ายน้อยมากกว่าเสมอ เพราะทั้งคู่ยังคงแข่งขันกันว่าใครจะรักใครมากกว่ากันต่อไป
ในเวลาที่เด็กๆ ดูหนังสือภาพนั้นเขามิได้ดูหรือฟังแบบผู้ใหญ่ซึ่งกำลังฟังเรื่องราวของคนอื่นแต่เด็กๆ จะฟังและดูอย่างคนในเรื่อง เขาจะเอาตัวเองเข้าไปสวมบทบาทแทนตัวละครในเรื่อง ในเรื่องน้ีเด็กๆจะเอาตัวเองเข้าไปแทนที่กระต่ายน้อย (คงไม่อยากเป็นพ่อกระต่าย) และเด็กๆ ก็คงอยากให้กระต่ายน้อยเล่นเกมใครรักมากกว่ากันนี้ชนะพ่อให้ไ้ด้
ในตอนท้ายสุด เมื่อกระต่ายน้อยรู้สึกง่วงนอนเต็มท่ี มันเงยหน้าขึ้นไปเห็นดวงจันทร์ และคิดได้ว่าคงจะไม่มีอะไรอยู่ไกลไปกว่าดวงจันทร์อีกแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “หนูรัก พ่อตรงนึ้ไปจนถึงดวงจันทร์” แล้วหลับตาลงทันที พ่อกระต่ายได้แต่พูดเบาๆ ก่อนหอมลูกรักขอให้นอนหลับฝันดีว่า “พ่อก็รัก ตรงขึ้นไปถึงดวงจันทร์....และกลับลงมา”เวลานั้นกระต่ายน้อยนอนหลับปุ๋ยไปแล้ว จึงไม่ต้องรับรู้ว่าเกมนี้พ่อชนะ