เปลี่ยนโรงเรียนด้วยการอ่าน
สิ่งที่ ผอ.โอนีล ทำเป็นอย่างแรกคือ เมื่อหมดชั่วโมงเรียนเวลา ๑๖.๐๐ น. ให้ครูและเด็กๆ “ทุกคน” หาหนังสือที่ตนชอบมาอ่าน ๑๐ นาที แล้วจึงกลับบ้าน (แน่นอน..ครูจำนวนหนึ่งต่อต้าน) ในไม่ช้าทุกคนก็เริ่มเห็นเด็กๆ เดินกลับบ้านกันเงียบๆ หลายคนถือหนังสือขึ้นไปอ่านต่อบนรถรับ-ส่ง (และแน่นอน.. ทุกคนอ่านหนังสืออื่นที่ไม่ใช่หนังสือเรียน) เด็กหลายคนเอาหนังสือไปอ่านต่อที่บ้าน และเวลาหลังเลิกเรียนเริ่มกลายเป็นชั่วโมงอันสงบสุข (เด็กๆเริ่มไม่แอะอะเสียงดัง) พอสิ้นปีการศึกษาปรากฏว่าผลรวมคะแนนของโรงเรียนดีขึ้น !
เข้าปีที่ ๒ ผอ.โอนีล ให้ครู “ทุกคน ทุกชั้น” เริ่มการเรียนชั่วโมงแรกในตอนเช้าด้วยการอ่านหนังสือ(นวนิยาย หรือ วรรณกรรม)ให้นักเรียนฟัง ๑๐ นาที “ทุกวัน” ซึ่งส่งผลบวกอย่างมากต่อ ๑๐ นาทีที่ทุกคนอ่านเองในภาคบ่าย และเด็กส่วนใหญ่จะตามอ่านหนังสือที่ครูอ่านให้ฟังในตอนเช้า
สิ้นปีการศึกษาที่ ๒ ผลคะแนนรวมของโรงเรียนดียิ่งกว่าปีแรก ชื่อเสียงของโรงเรียนก็ดีขึ้น และผู้ปกครองเริ่มส่งลูกสมัครเข้าเรียนมากขึ้น
สิ้นปีที่ ๓ นักเรียน ๕๗๐ คนของโรงเรียน Lewenberg ทำคะแนนการอ่านได้สูงที่สุดใน Boston และมีผู้สมัครรอคิวเข้าเรียนจำนวน ๑๕ หน้ากระดาษ
เรื่องของโรงเรียนได้รับการเขียนถึงในนิตยสาร Time ซึ่งต่อมาเป็นแรงบันดาลใจให้ Hiroshi Hayashi ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นทำตาม แล้วได้รับผลบวกเป็นอย่างมากในชั่วเวลาเพียง ๑ ปี และยังส่งผลต่อโรงเรียนอีกกว่า ๓,๕๐๐ โรงในญี่ปุ่น เมื่อ ผอ.ฮายาชิ ใช้เวลา ๒ ปี เขียนจดหมายด้วยลายมือตนเอง ขักชวนโรงเรียนต่างๆใช้การอ่านหนังสือให้นักเรียนฟังเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
หมายเหตุ : เรื่องนี้เป็นหลักฐานยืนยัน (อีกครั้ง) ว่าการอ่านหนังสือนอกตำราให้ฟังเกิดผลดีต่อเด็กทุกกลุ่มอายุ และหนังสือจะไม่ถูกเด็กๆแตะต้องหากไม่มีคนช่วย(โฆษณา)ด้วยการอ่านให้ฟัง